รีวิวอนิเมะ Attack on Titan Final Season ตอนจบ ปิดตำนานไททัน อิสรภาพสู่มนุษยชาติ

การตามหาอิสรภาพในโลก Attack on Titan ที่ใช้เวลาในการเดินทางเป็นระยะเวลา 10 ปีหลังจากที่อนิเมะซีซันแรกได้เริ่มฉาย ในที่สุดก็ได้เดินทางมาถึงปลายทางแล้ว อนิเมะคุณภาพอีกหนึ่งเรื่องที่ได้ปิดตำนานลง และถูกยกขึ้นหิ้งในใจของใครหลายๆ คน เราเชื่อว่าแฟนๆ เรื่องนี้ต่างก็รู้ตอนจบจากมังงะกันมาบ้างแล้ว แต่ฉบับอนิเมะนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก็เป็นสิ่งที่แฟนๆ เรื่องนี้ต่างรอคอยเช่นเดียวกัน เพราะเป็นงานอนิเมชันคุณภาพทั้งนั้น แนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยจริงๆ สามารถอ่านรีวิวตอนอวสารของ Attack on Titan แล้วอินไปพร้อมกันได้เลยที่นี่

Attack on Titan ตอนจบ ดูที่ไหน?

Attack on Titan the Final Season Part 3.2 (ชื่อภาษาไทย: ผ่าพิภพไททัน, ชื่อภาษาญี่ปุ่น: Shingeki no Kyojin) จะมีอยู่ 1 ตอน ความยาว 1 ชั่วโมง 26 นาที จัดทำโดยสตูดิโอ Mappa สามารถรับชมผ่าพิภพไททันตอนจบเต็มเรื่องบนช่องทางถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Bilibili, Netflix, iQIYI

เรียงภาคการดูอนิเมะ Attack on Titan ทุกซีซัน ได้ที่ ENNXO

จากซีซันที่แล้ว “พสุธากัมปนาท” หรือพวกไททันขนาดมหึมาหลายแสนตัว เดินหน้าไปตามดินแดนต่างๆ แล้วเหยียบทุกสิ่งอย่างจนราบคาบ โดยมีเอเรนเป็นผู้นำที่กำลังอยู่ในร่างไททันบรรพบุรุษ เรียกได้ว่าเหล่ามนุษยชาติที่อยู่นอกเกาะต่างสิ้นหวังกับเหตุการณ์ แล้วจบลงในตอนที่พวกอาร์มิน มิคาสะ อยู่บนตัวเอเรน แล้วพร้อมที่จะหยุดการทำลายล้างในครั้งนี้

สำหรับภาคสุดท้ายนี้ดำเนินเรื่องต่อ โดยเปิดฉากการต่อสู้กันระหว่างพวกอาร์มิน กับเอเรน พร้อมเหล่าไททันในอดีตที่มีจำนวนมากมาย ซึ่ง Mappa ได้ใส่ฉากสำคัญๆ มาครบ รวมถึงเพิ่มฉากเล็กๆ น้อย และเปลี่ยนบทพูดในบางฉากสำคัญเข้ามาบ้าง ถือว่าทำออกมาได้ดี ส่งผลให้ฉากนั้นทรงพลังมากขึ้น ทางเราจะขอไม่สปอยล์เนื้อหา เพื่อให้คุณรับความสนุกนี้ด้วยตนเอง

รีวิวอนิเมะ Attack on Titan Final Season ตอนจบ

เปิดเรื่องมาก็เป็นการต่อสู้ต่อจากซีซันที่แล้วบอกได้เลยว่าดุเดือดสุดๆ แต่ว่าฉากการต่อสู้นี้ไม่ได้มีเพียงแค่การสู้กันเฉยๆ เพราะเป็นฉากบีบความรู้สึกของตัวละคร ถึงการตัดสินใจจะฆ่าเอเรนเพื่อยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทุกฉากที่มีการเล่าย้อนอดีตหรือเล่าความรู้สึกตัวละคร เราเชื่อว่าความรู้สึกของตัวละครในเรื่องส่งถึงคนดูอย่างแน่นอน เหมือนกับว่าเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา

ซึ่งฉากการต่อสู้นั้น Mappa ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการ และสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะดวงตา บ่งบอกถึงความเศร้า ความสิ้นหวัง ความไร้ความรู้สึกต่อโลกใบนี้ ที่ทำเอารู้สึกจุก และอีกหนึ่งสิ่งที่เรื่องนี้เน้นเป็นพิเศษก็คือสัญลักษณ์ของอิสรภาพ เห็นกันบ่อยๆ ก็คือฉากนกโบยบิน ที่เป็นฉากเห็นได้ทั่วไปตามอนิเมะเรื่องต่างๆ แต่สำหรับเรื่องนี้มันกลับมีอิมแพคที่ทำให้เราเข้าใจธีมหลักของเรื่องที่ว่าโหยหาความเป็นอิสรภาพนั่นเอง

นอกจากนี้สิ่งที่ Mappa เพิ่มเข้ามาและสร้างความประทับใจให้กับเราสุดๆ ก็คือช่วงท้ายของเพลงประกอบอนิเมะ ที่ทำให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกว่า “ต่อให้ไททันจะไม่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว แต่ความขัดแย้งของมนุษย์ก็ยังไม่หมดไป” เรียกได้ว่าเป็นส่วนเสริมทำให้เราตีความกันได้หลากหลาย ส่วนตัวเราคิดว่ามันเชื่อมโยงกับโลกปัจจุบันได้ดีเลย ในแง่ที่ว่าวีรบุรุษที่เคยสร้างโลกให้เกิดความสงบสุขในอดีต สุดท้ายแล้วนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจจะส่งผลมาปัจจุบันบ้าง แต่ส่วนที่ตัดสินใจว่าเหตุการณ์จะดีหรือร้ายคือผู้คนในยุคปัจจุบันต่างหาก

มาพูดถึงฉากที่ทำเอาซึมและร้องไห้สุดๆ ก็คือฉากที่เอเรนคุยกับอาร์มินตรงทะเล โดยอนิเมะจะมีการเปลี่ยนบทพูด แตกต่างจากมังงะ แต่การปรับเปลี่ยนนี้กลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น และทำให้รู้สึกว่าเอเรนไม่ได้แบกรับความผิดคนเดียว ยังมีอาร์มินเพื่อนรักของเขาที่พร้อมตกนรกไปพร้อมกัน รวมถึงตอนที่เอเรนบอกว่า "อยากให้มิคาสะรักแค่ฉันคนเดียวทั้งชีวิต" นี่แหละชวนร้องไห้สุดๆ เพราะความปรารถนาที่เอเรนอยากอยู่กับคนรัก ก็ไม่อาจเป็นไปได้

การเสียสละของเอเรนที่อยากให้พวกพ้องได้มีอิสรภาพ หรือการปลดปล่อยบรรพบุรุษยูมิลออกจากพันธนาการที่ติดมาอย่างยาวนานถึง 2,000 ปี ถึงแม้ตนเองนั้นจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั่วโลกก็ตาม แถมยังไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆ คนรัก และไม่ได้เห็นอิสรภาพด้วยตาของตัวเอง ซึ่งก็เป็นตอนท้ายของเรื่องให้คนดูไปตีความกันเอาเองอีกว่า สุดท้ายแล้วคุณคิดว่า “อิสรภาพ” ในความหมายที่แท้จริงของเอเรนคือเรื่องอะไรกัน?

อีกคำหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือคำว่า “จงถวายดวงใจ” คำที่เราได้ยินมาตั้งแต่ซีซันแรก ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นการถวายดวงใจครั้งสุดท้าย ที่ตัวละครต่างทุ่มเทต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แน่นอนคนดูอย่างเราที่เติบโตมาพร้อมกับเรื่องนี้ก็ขอถวายดวงใจให้กับ Attack on Titan และยกให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องขึ้นหิ้งด้วยเช่นกัน

ฉากที่เราชอบมากที่สุดคือ ฉากสุดท้ายที่มิคาสะอยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งเป็นฉากเดียวกับตอนที่มิคาสะปลุกเอเรนในตอนแรกของเรื่อง แต่ในฉากสุดท้ายนี้ไม่มีกำแพงและไม่มีเอเรนแล้ว ทำเอาคนดูอย่างเราเกิดความรู้สึกโหวงๆ และรู้สึกเศร้าไปในเวลาเดียวกัน

ถ้าหากไม่มีสงคราม ไม่มีเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองของผู้ใหญ่ พวกเขาก็คงได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า โดยที่ไม่มีใครต้องเสียสละ…

โดยรวมแล้วมังงะที่ว่าดีสุดๆ ฉบับอนิเมะก็ดีไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องของงานภาพ การเคลื่อนไหว ฉากต่อสู้ การพากย์เสียง ซึ่ง Mappa ทำออกมาได้ดีทั้งหมด ชวนขนลุกสุดๆ แสดงถึงความใส่ใจของทางทีมงานและอาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ ผู้เขียนเรื่อง Attack on Titan นับว่าเป็นหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ที่ไม่รู้สึกเสียดายเวลาเลย แถมยังเต็มอิ่มทุกความรู้สึกร่วมกับเหล่าตัวละคร เป็นอีกหนึ่งอนิเมะคุณภาพ ที่อย่างน้อยในชีวิตสายอนิเมะอย่างเราต้องดูสักครั้ง แล้วโบกมือลากับการเดินทางในครั้งไปพร้อมกัน ถึงแม้จะรู้สึกใจหายที่การเดินทางในครั้งนี้ถึงจุดสิ้นสุดแล้วก็ตาม

ขอบคุณสำหรับอนิเมะดีๆ ที่มอบความสนุกครบรสมาตลอด 10 ปี อีกหนึ่งความทรงจำที่จะไม่ลืมเลย