ขอขมากรรมที่วัดสุทัศน์ ถอนคำสาป แก้กรรมกับหลวงพ่อกลักฝิ่น

ขอขมากรรมที่วัดสุทัศน์ ถอนคำสาป แก้กรรมกับหลวงพ่อกลักฝิ่น

ENNXO
/
Blog
/
ขอขมากรรมที่วัดสุทัศน์ ถอนคำสาป แก้กรรมกับหลวงพ่อกลักฝิ่น

แชร์

Share on Line
อัพเดทล่าสุด: 29 ส.ค. 2567

ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนสายมูแบบเราต้องยิ่งเร่งเครื่องเพิ่มแต้มบุญกันเอาไว้ แต่ถ้าหากเติมบุญแล้ว แต่มีกรรมบังต้องแก้ยังไง หรือขอพรที่ไหน ขอพรกับพระแม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังไม่ถึงคิวสักที สิ่งนั้นเรียกว่ากรรมบังนั่นเอง ซึ่งถ้าจะให้ดวงชะตาเปิดมีเรื่องราวดีๆ เข้ามาต้องทำพิธีแก้กรรม ขอขมากรรมพ่อแม่ หรือขอขมากรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยในวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักวิธีการตัดกรรม ขอขมากรรม บทสวดถอนคําสาบาน กับหลวงพ่อกลักฝิ่น ที่วัดสุทัศน์ แล้วการถอนคำสาบานและคําขอขมาอโหสิกรรมต้องทำยังไงไปดูกันเลย

ขอขมากรรมที่วัดสุทัศน์ ถอนคำสาป แก้กรรมกับหลวงพ่อกลักฝิ่น

ทำไมต้องตัดกรรม ถอนคำสาบานที่วัดสุทัศน์

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ตัดกรรม แก้กรรม คืออะไร? การทำพิธีเปิดดวงชะตาเพื่อชะล้างหรือบรรเทาผลของการกระทำที่เคยทำไว้ โดยการแก้กรรมหรือตัดกรรมนั้นเชื่อว่าจะบันดาลให้สิ่งดีๆ เรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งพิธีกรรมนี้ควรทำอยู่เสมอ

แล้วทำไมต้องทำพิธีล้างคำสาปแช่ง ตัดกรรมที่วัดสุทัศน์? ด้วยวัดสุทัศน์ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ให้เป็นเสมือนศูนย์กลางของพระนคร หรือกล่าวได้ว่าเป็นตำแหน่งของดาวดึงษเทวโลกตามแนวคิดการสร้างแต่โบราณ และยังเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี รวมทั้งยังมีนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ออกมาอธิบายว่า วัดสุทัศน์นี้ถูกออกแบบทางสถาปัตยกรรมตามคติจักรวาล จึงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ประดิษฐานพระกลักฝิ่น พระพุทธรูปโบราณศักดิ์สิทธิ์

ทั้งนี้วัดสุทัศน์ยังเป็นต้นกำเนิดของพระสุนทรีวาณี บุคลาธิษฐานในรูปเทพยธิดาบนดอกบัวที่มาพร้อมกับพระคาถาสุนทรีวาณีซึ่งเป็นพระคาถาที่สรรเสริญในพระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่ความรุ่งเรืองของชีวิตและความเป็นเลิศในสติปัญญา นอกจากนี้มีเหล่าอาจารย์ชื่อดังหลายท่านต่างแนะนำว่าวัดสุทัศน์เหมาะแก่การประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเป็นสถานที่สามารถเดินทางสะดวก และเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองถึงสามองค์ตามตำนาน 108 พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในเมืองไทย เรียกว่าเป็นความมหามงคลอย่างยิ่ง

บทสวดคาถาขอขมากรรม ตัดกรรม วัดสุทัศน์

วิธีแก้กรรม แก้คำสาปแช่ง หลวงพ่อกลักฝิ่น วัดสุทัศน์

แก้กรรมวัดสุทัศน์ ขออโหสิกรรม วัดสุทัศน์ หลวงพ่อกลักฝิ่น คืออะไรต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้เอ็นโซ่มีคำตอบ โดยตามตำราแต่โบราณต่างเล่าขานกันว่าการขอขมากรรมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการถอนคำบนบานจำเป็นต้องจุดธูป 5 ดอก จุดธูปกลางแจ้ง และต้องปักธูปในที่ที่แสงแดดส่องถึงเพื่อบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพยาดาฟ้าดินทั้งหลายทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 18 พื้นบาดาล ให้ได้รับรู้ในความตั้งใจของเรา ทั้งนี้เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เปิดทางให้เราได้

ขอขมากรรมตัดกรรม วัดสุทัศน์ กรุงเทพ

แก้กรรมวัดสุทัศน์ กับหลวงพ่อกลักฝิ่น ใช้อะไรบ้าง

การขอขมากรรม ตัดกรรม หรือถอนคำสาบาน หลวงพ่อกลักฝิ่น วัดสุทัศน์ มีสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมเพื่อทำพิธีได้แก่ ธูป 5 ดอก, เทียนขาวเล็ก 5 เล่ม, ดอกไม้ 5 ดอก และเหรียญ 5 บาท เราสามารถจัดเตรียมไปเองได้ แต่หากไม่ได้เตรียมไว้ทางวัดมีให้บริการชุดละ 50 บาท

ขอขมากรรม วัดสุทัศน์ ถอนคำสาบานต้องทำยังไง?

1. เมื่อเตรียมของสักการะเรียบร้อยแล้วท่านต้องจุดธูปเทียนเพื่อบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์พร้อมปักธูปเทียนลงในกระถางกลางแจ้งที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ โดยธูปจำนวน 5 ดอกนั้น หมายถึง จำนวนที่ไหว้บูชาพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์) รวมถึงพระคุณบิดามารดา และครูบาอาจารย์เป็นสัญลักษณ์แทนทิศทั้ง 5 ทิศ ได้แก่ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศกลาง และทิศใต้ นอกจากนี้จำนวนธูป 5 ดอกนั้นยังนิยมไหว้บูชาพระบรมรูปเสด็จพ่อ ร.5, ศาลตาศาลยาย, ตี่จู่เฮี้ย และเทียนสีขาวนั้นก็หมายถึงความบริสุทธิ์ และจริงใจในการกระทำขอขมากรรมครั้งนี้

2. หลังจากนั้นเริ่มสวดบทสวดคาถาแก้กรรมตัดกรรมต่อหน้าพระพุทธเสรฏฐมุนี หรือพระกลักฝิ่น รวมถึงสวดพระคาถาศักดิ์สิทธิ์อย่างพระคาถาสุนทรีวาณี โดยกล่าวตามคำขอขมากรรมตามที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ครบถ้วน จากนั้นถวายดอกไม้ต่อหน้าหลวงพ่อกลักฝิ่น โดยดอกไม้ที่นิยมถวายเป็นดอกบัว เพราะหมายถึงความบริสุทธิ์ ความดีงาม และความเลื่อมใสศรัทธา

3. แล้วให้เตรียมเงินเหรียญเพื่อหยอดเหรียญจำนวน 5 บาท ลงในตู้อนุโมทนาบุญ เป็นอันเสร็จพิธีกรรม โดยวิธีแก้คำสาปแช่งให้ได้ผลนั้นควรหมั่นกลับมาสวดแก้กรรม ขอขมากรรมอีกหลายๆ ครั้ง สามารถสวดแก้กรรมกี่ครั้งก็ได้ตามความพึงพอใจ

ขอขมากรรม หลวงพ่อกลักฝิ่นวัดสุทัศน์

วัดสุทัศนเทพวรารามกับพื้นที่วัดศักดิ์สิทธิ์

ในช่วง พ.ศ. 2350 มีการรื้อฟื้นธรรมเนียมการสร้างวัดกลางเมือง โดยรัชกาลที่ 1 มีพระราชดำริให้สร้างวัดนามว่า วัดมหาสุทธาวาส วัดตั้งอยู่บริเวณพระนครชั้นนอกตามคติทางศาสนาอย่างวัดในสมัยอยุธยา โดยวัดสร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 หรือใช้เวลานานถึง 40 ปี และเสร็จสิ้นในช่วงรัชกาลที่ 3 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

จนมาถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนนามวัดใหม่อีกครั้งเป็น “วัดสุทัศนเทพวราราม” แปลว่า ศูนย์กลางของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่เป็นที่ประทับของพระอินทร์ ซึ่งวัดสุทัศน์เรียกได้ว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญมาก และเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญของไทยถึงสามองค์ ได้แก่ พระศรีศากยมุนี พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ และพระพุทธเสรฏฐมุนี อย่างไรก็ตามพระพุทธรูปองค์ที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ คือ พระพุทธเสรฏฐมุนีหรือพระกลักฝิ่น พระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษ และเป็นพระพุทธรูปที่มีองค์เดียวในประเทศไทย ด้วยองค์พระพุทธรูปหล่อมาจากกลักฝิ่น

ประวัติหลวงพ่อกลักฝิ่น พระพุทธปฏิมากรเพียงหนึ่งเดียว

สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบสร้างอย่างพิมพ์นิยมของรัชกาลที่ 3 หล่อหลอมขึ้นจากกลักฝิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อตามที่ชาวบ้านขนามนามกันว่า “หลวงพ่อกลักฝิ่น หรือพระกลักฝิ่น” โดยกลักฝิ่นตามที่เรียกกันนั้นอาจหมายถึงกล่องหรือภาชนะที่ใส่ฝิ่น (Opium box) หรือกล้องสูบยา (Pipe) จากเหตุการณ์ที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูปจากกลักฝิ่นนั้นเนื่องมาจากสมัยแผ่นดินที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดการระบาดของฝิ่นอย่างหนัก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับสงครามฝิ่นในสภาวการณ์โลก มีชาวจีนหรือกลุ่มอั้งยี่ที่นิยมเสพฝิ่นนำฝิ่นเข้ามากระจายในสยามขณะนั้น ทำให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเสพติดฝิ่นกันอย่างงมงาย

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการปราบฝิ่นอย่างเคร่งครัด ต่อมาใน พ.ศ. 2382 มีการกวาดล้างฝิ่นเกิดขึ้น มีทั้งฝิ่นดิบและฝิ่นสุก รวมทั้งสิ้นแล้วมากถึง 222,120 กิโลกรัม และถูกนำมาเผารวมกันต่อหน้าประชาชนบริเวณสนามชัย หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท การกวาดล้างครั้งนี้ถือเป็นการกวาดล้างฝิ่นครั้งใหญ่ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดมา และในปีเดียวกันสารเสพติดชนิดนี้ได้กลายมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการหล่อพระพุทธรูปปฏิมากร โดยในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2382 รัชกาลที่ 3 ทรงให้นำกลักฝิ่นโลหะจำนวนที่มากเพื่อใช้ในการหล่อพระพุทธรูปนั่นคือ หลวงพ่อกลักฝิ่น หรือพระกลักฝิ่น กระทั่งรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธเสรฏฐมุนี” แปลว่า พระผู้ประเสริฐยิ่ง ประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ ศาลาการเปรียญในวัดสุทัศนเทพวราราม

ขอขมากรรมที่วัดสุทัศน์ ถอนคำสาป แก้กรรมกับหลวงพ่อกลักฝิ่น

หากสงสัยว่าเหตุใดสารเสพติดชนิดนี้ถึงได้ถูกนำมาสร้างเป็นพระพุทธรูปที่เสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า คงจะเป็นกุศโลบายของรัชกาลที่ 3 ที่ต้องการให้โอกาสผู้คนที่เคยหลงใหลหลงผิดเสพติดฝิ่นได้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีหันหน้าเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้เช่นเดียวกับสารประกอบสร้างในพระพุทธรูปองค์นี้ที่มาจากสิ่งผิดกฎหมายแต่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพระพุทธปฏิมากรอันประเสริฐ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมทำนุบำรุงพระศาสนาอีกด้วย

สรุปรีวิวการขอขมากรรมวัดสุทัศน์นี้ ตัวเราในชีวิตโลกปัจจุบันไม่สามารถหยั่งรู้ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตชาติได้ การขอขมากรรม ตัดกรรม หรือถอนคำสาปแช่งสาบานนี้จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาชีวิต บรรเทาจิตใจให้สงบ คลายความทุกข์ความกังวล ให้กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมีสติ ด้วยพรและบารมีของพระพุทธคุณจากพระพุทธเสรฏฐมุนี และพระคุณบิดามารดานั้นจะยิ่งหนุนนำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ได้หมั่นเพียร ปรับทิศเปลี่ยนทางชีวิตให้เอนไปหาลู่ที่ดีขึ้น รวมถึงประสบการณ์พระสุนทรีวาณีอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้การขอขมากรรมนั้นเป็นการกระทำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ทั้งคำพูด และการกระทำ ดังนั้นการรำลึกและรู้ตัวอยู่เสมอถึงการกระทำ และคำพูดตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีควรแก่การกระทำ

แชร์

Share on Line

บทความใกล้เคียง