- ชวนรู้จัก Re: Zero อนิเมะอิเซไกที่มีเนื้อหาหนัก แต่ไม่ควรพลาด
- รีวิวอนิเมะ Re: Zero รีเซทชีวิต ฝ่าวิกฤตต่างโลก
- นัตสึกิ สุบารุ เด็กหนุ่มไร้พลัง ที่ไม่ถูกใจคนดู
เมื่อความตายไม่ใช่จุดจบ…แต่เป็นจุดเริ่มต้นให้นัตสึกิ สุบารุ ได้แก้ไขเรื่องราวเพื่อให้ทุกอย่างจบลงอย่างแฮปปี้มากที่สุด ความทุกข์ทรมาณจากการตาย และการเห็นคนที่รักตายต่อหน้าต่อตา วนเวียนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุการณ์สุดสะเทือนใจนี้กลับเกิดขึ้นกับเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนนึงเท่านั้น พบกับ Re: Zero อนิเมะต่างโลก ที่พระเอกไม่ได้เก่ง (หรือที่ใครๆ ก็บอกว่ากาก) แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตบนโลกแฟนตาซีที่พลังเวทมนตร์เป็นสิ่งสำคัญ วันนี้ทางเราจะมาชวนทุกคนให้รู้จักอนิเมะเรื่องนี้มากขึ้น หนึ่งในสุดยอดอนิเมะอิเซไกที่ไม่ซ้ำเรื่องไหน จะน่าสนใจอย่างไรมาดูกันเลย
ชวนรู้จัก Re: Zero อนิเมะอิเซไกที่มีเนื้อหาหนัก แต่ไม่ควรพลาด
Re: Zero อนิเมะแนวแฟนตาซี ดราม่า ที่ได้ออกฉายครั้งแรกในปี 2016 โดยมีสตูดิโอ White Fox เป็นผู้แล เป็นผลงานดัดแปลงมาจากไลท์โนเวลเรื่อง Re : Zero Kara Hajimeru Isekai Seikatsu ของ Tappei Nagatsuki และวาดภาพประกอบโดย Shinichirou Otsuka นอกจากนี้ยังมีฉบับมังงะที่แยกเป็นอีกสองผลงาน คือ Re:Zero kara Hajimeru Isekai Seikatsu: Daiisshō – Ōto no Ichinichi-hen วาดโดย Daichi Matsuse
อีกหนึ่งผลงานคือ Re: Zero kara Hajimeru Isekai Seikatsu Dainishō Yashiki no Isshūkan-hen วาดโดย Makoto Fūgetsu อย่างไรก็ตามถึงแม้จะใช้ชื่อต่างกัน แต่บทนั้นยังคงมี Tappei Nagatsuki เป็นผู้ดูแล สำหรับใครที่อยากตามอ่าน Re: Zero ฉบับไลท์โนเวลและฉบับมังงะตามอ่านได้ที่สำนักพิมพ์ A-Plus ได้เลย
เรื่องราวนัตสึกิ สุบารุ เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่อยู่ๆ ก็ถูกเชิญมาต่างโลก เขาได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียชีวิตลง แต่ว่าเขาไม่ตายแถมยังรีเซทกลับมาที่จุดเริ่มต้น แล้วก็เจอสถานการณ์คล้ายเดิมๆ จนรู้ตัวว่าตนเองนั้นมีพลังที่สามารถย้อนเวลากลับมาแก้ไขได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องตายก่อน เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ตายไม่ได้จะเป็นอย่างไรต่อ ติดตามความสนุกนี้ได้ที่ Netflix และ Bilibili ปัจจุบันอนิเมะมีทั้งหมด 2 ซีซั่น ประกอบด้วย ซีซั่น 1 จำนวน 13 ตอน (ฉบับใหม่) และซีซั่น 2 จำนวน 25 ตอน
แนะนำตัวละคร
นัตซึกิ สุบารุ (พากย์โดย Yūsuke Kobayashi)
เด็กหนุ่มที่ชอบเก็บตัวไม่พูดคุยกับใครในโลกเดิม เมื่อถูกเชิญมาต่างโลก เขากลับมีบุคลิกขี้ทะเล้น หากคิดอะไรก็มักจะแสดงออกไปตรงๆ ถึงแม้จะอยู่ในโลกแฟนตาซี แต่กลับไม่มีพลังอะไรเป็นพิเศษ นอกจากการรีเซทชีวิตหลังการตาย หลายๆ ครั้งที่เขามักจะท้อกับชีวิต แต่ก็สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้เสมอ
เอมิเลีย (พากย์โดย : Rie Takahashi)
เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ มีผมยาวสีเงินสลวย เธอมักถูกชาวบ้านแสดงท่าทีไม่ชอบเพราะเธอมีรูปร่างคล้ายกับแม่มดริษยา ที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว อย่างไรก็ตามเธอเป็นคนที่ถ่อมตน ใจเย็น และชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
เรม (พากย์โดย : Inori Minase)
แฝดคนน้องที่มีผมสีฟ้า ทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องงานบ้านในปราสาทของรอสวาล เป็นคนน่ารักแบบอ่อนโยน โดยภายหลังได้เปิดใจให้สุบารุ แล้วยกให้เขาเป็นฮีโร่สำหรับเธอ และคอยพูดให้กำลังใจเขาตลอด
แรม (พากย์โดย : Rie Murakawa)
แฝดคนพี่ที่มีผมสีชมพู ไม่เก่งเรื่องงานบ้าน แต่ก็คอยดูแลความเรียบร้อยของปราสาท เป็นคนที่ชอบพูดตรงๆ และชอบเล่นมุกชมตัวเองได้อย่างน่าตาเฉย
รีวิวอนิเมะ Re: Zero รีเซทชีวิต ฝ่าวิกฤตต่างโลก
ไม่คาดหวัง…ก็จะไม่ผิดหวัง คอนเซ็ปต์ของการดูอนิเมะเรื่องนี้ ทำไมเราถึงบอกแบบนั้น? หลายคนเวลาได้ยินว่าเป็นอนิเมะแนวต่างโลก มักคิดว่าพระเอกต้องเก่ง มีพลังที่เทพเป็นอันดับต้นๆ ของเรื่อง เมื่อคุณคาดหวังแบบนี้กับอนิเมะ Re: Zero แน่นอนว่าคุณจะพบความผิดหวัง และรู้สึกไม่ชอบเรื่องนี้ไปเลย แต่ถ้าไม่คาดหวังแบบนั้น คุณจะพบว่าอนิเมะอิเซไกเรื่องนี้ก็มีความสนุกที่ไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลย
แล้วความสนุกของเรื่องคืออะไร ? อย่างแรกเลยที่เราอยากพูดถึงก็คือตัวละครสุบารุ พระเอกของเราที่ต้องวนลูปไปเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งหลังการตาย ซึ่งการตายทุกครั้งก็รับรู้ความเจ็บ ความทรมาณก่อนเสมอ แถมช่วงหลังๆ จุดเซฟก็เปลี่ยนมากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่โหดๆ เลยแหละ ทั้งที่ตนเองไม่มีพลัง แล้วต้องมาตายซ้ำๆ เพื่อช่วยเหลือคนที่เรารัก แต่เขาดันลืมเราเนี่ย เป็นใครก็ต้องมีเจ็บปวดกันบ้าง
เรียกได้ว่าเราจะเข้าใจความประสาทเสียของตัวละครนี้เลย ที่สำคัญบอกพลังนี้ให้ใครฟังก็ไม่ได้ เพราะมันคือคำสาป! นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความดาร์คในเรื่อง หากใครชอบความระทึกขวัญ ความดาร์คล่ะก็…เรื่องนี้ตอบโจทย์ให้คุณได้ เพราะต้องลุ้นตลอดว่าสุบารุจะเอาชนะพวกตัวโหดๆ ได้อย่างไร
ในเรื่องมีตัวละครโหดๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นแม่มด จอมเวทย์ บาทหลวง แวมไพร์ มีแค่พระเอกของเราที่ดันค่อนข้างเอียงไปทางคนธรรมดา แต่คนธรรมดานี้ก็ช่วยเหลือทุกคนได้นะ ในแต่ละลูปยิ่งทวีความโหดขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีก็อดสงสารพระเอกไม่ได้ สิ่งนี้นั่นเองที่ชวนให้เราติดตามว่าพระเอกจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
โดยซีซั่น 1 นั่นเรียกได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซของเรื่องเลยทีเดียว เพราะไม่ได้ย้อนความหลังอะไรมากมาย พระเอกมาถึงโลกใหม่ปุ๊ป เจอวนลูปการตายรัวๆ เพียงซีซั่นเดียวก็ต้องแก้ไขเหตุการณ์ไปถึง 3 เหตุการณ์ แต่ที่เราชอบมากที่สุดคือลูปตอนที่ต้องไปช่วยเอมิเลียที่ปราสาทของรอสวาลจากพวกกลุ่มบาทหลวงที่เป็นตัวแทนของความเกียจคร้าน และต้องสู้กับภัยพิบัติอย่างวาฬขาวไปอีกด้วย เรียกได้ว่าโหดสุดๆ แถมยังเป็นตอนที่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง ตัวสุบารุเองกว่าจะคิดกลยุทธ์ออกก็โดนเหยียดยามศักดิ์ศรีไปเยอะ นับว่าเป็นลูปที่สิ้นหวังสุดๆ แต่ก็มีหลายฉากที่สร้างความประทับใจได้ดีเลย
ส่วนซีซั่น 2 เน้นไปที่การเล่าภูมิหลังของตัวละครทั้งสุบารุ เอมิเลีย เบ็ตตี้ และรอสวาล ถึงแม้วูปจะโหด แต่ก็สู้ความสนุกของซีซั่น 1 ไม่ได้ ถ้าใครเป็นเมนเอมิเลียอาจจะชอบก็ได้นะ เพราะซีซั่น 2 คือภาคของเธอจริงๆ ทีนี้มาพูดถึงเรื่องงานภาพ ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว พอถึงจุดที่ดาร์กก็ทำออกมาได้หดหู่ ใส่เพลงประกอบเข้าไปยิ่งรู้สึกสิ้นหวังเข้าไปใหญ่ จนบางครั้งก็เผลออุทานว่า “พระเอกยอมแพ้ดีกว่าไหม” ส่วนฉากต่อสู้ ก็ทำได้ดี ไม่ค่อยมีอะไรขัดตา จะมีแต่ฉากเลือดสาดให้เห็นจนชิน รวมๆ แล้วเป็นอนิเมะต่างโลกที่ไม่ซ้ำเรื่องไหนเลย ก่อนจะจบการรีวิว Re: Zero เราขอแนะนำเพลงประกอบอนิเมะ ED ให้ทุกคนได้ลองฟังกัน
เพลง STYX HELIX ของ MYTH&ROID
เพลง Stay Alive ของ Rie Takahashi
นัตสึกิ สุบารุ เด็กหนุ่มไร้พลัง ที่ไม่ถูกใจคนดู
เชื่อว่าหลายคนที่เคยดูเรื่องนี้ หากได้เปิดอ่านรีวิวคงเห็นว่าสุบารุเป็นตัวละครที่โดนเกลียดรุนแรง หรือไม่ก็โดนด่าว่าไอ้กาก ไอ้โง่ โดยสาเหตุหลักก็มาจากการที่พระเอกไม่มีพลังเวทมนตร์ แถมบางครั้งก็ทำอะไรไม่คิด เพราะความเอาแต่ใจของตัวเองที่ทำให้ขัดใจคนดู อย่างไรก็ตามในมุมมองของเราถือว่านิสัยของสุบารุเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้ ถึงแม้จะน่ารำคาญก็ตาม แต่ก็เป็นตัวละครที่ดูสมจริง เมื่อคนธรรมดาไปอยู่ในต่างโลกจะให้เก่งหรือตัดสินใจถูกในทุกเรื่องก็คงไม่ใช่…
เนื้อหาต่อจากนี้มีการสปอยล์เนื้อหาในอนิเมะ
ทีนี้มาพูดถึงวีรกรรมที่ชวนให้เรากำหมัดมากที่สุดกับพฤติกรรมของสุบารุ นั่นก็คือฉากตอนประกาศตัวผู้คัดเลือกกษัตริย์ สุบารุได้ผิดสัญญาที่ให้กับเอมิเลียว่าจะไม่ตามไป โดยอ้างว่าเป็นห่วง ถึงสุดท้ายเขาจะพูดจาปกป้องเอมิเลียอย่างไร แต่สิ่งที่เขาทำคือการไม่สำรวมต่อหน้าพิธีศักดิ์สิทธิ์ ดูถูกอัศวินคนอื่น ทำให้เอมิเลียต้องอับอาย พอรู้ว่าตัวเองผิดก็ไม่ยอมหยุดพูดหรือยอมขอโทษ จึงไม่แปลกที่ฉากนี้น่าจะมีหลายคนไม่ชอบสุบารุเพิ่มมากขึ้น
ความงี่เง่าของตัวละครนี้ยังไม่จบ เมื่อเขาถูกเอมิเลียโกรธ เขาได้เถียงออกไปโดยไม่คิดทั้งพูดจาทวงบุญคุณ บอกว่ามีแค่ตัวเองเท่านั้นที่ปกป้องทุกคนได้ และที่เอมิเลียมาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะมีเขาคอยช่วย นับว่าเป็นฉากที่ชวนโมโหสุดๆ เพราะเขาไม่ได้มองทางฝั่งเอมิเลียว่าตัวเธอนั้นก็ไม่ได้รู้ว่าเขามีพลังย้อนเวลาได้
ถึงเราจะรู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมบางครั้งของสุบารุ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียดนะ พอมองในอีกมุมนึงที่สุบารุต้องเจอ ก็พอเข้าใจถึงการกระทำต่างๆ แถมยังคอยให้กำลังใจตัวละครนี้อีกต่างหาก เพราะสุบารุเป็นเด็กมอปลายธรรมดาที่ต้องมาอยู่ในต่างโลกคนเดียว มาสู้กับพวกตัวร้าย อยากตายก็ตายไม่ได้อีก แค่มีแรงฮึดสู้ก็เก่งแล้ว ยิ่งฉากตายของสุบารุมาครบทุกรูปแบบ ทั้งฆ่าตัวตาย ถูกทรมาณก่อนตาย ถูกคนที่เชื่อใจฆ่า และยิ่งเห็นคนที่รักตายต่อหน้าหลายรอบ เพียงแค่ซีซั่นแรกพระเอกก็ตายประมาณ 10 ครั้งได้ ถ้าเจอแบบนี้มีใครจะไม่สติแตกบ้าง
ฉันรู้จักขุมนรกเป็นอย่างดี
คนที่ได้รู้จักขุมนรกน่ะ
มีแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว
ฉันอยู่ก็เพื่อการนั้นไงล่ะ
นัตซึกิ สุบารุสุบารุเสพติดการตายเพราะคิดว่าทุกอย่างแก้ปัญหาได้ด้วยการตายเพื่อรีเซทใหม่ จนซีซั่นสองเขาได้พบว่าไม่ได้มีเขาแค่คนเดียวที่เจ็บปวดตอนตาย คนที่ผูกพันกับเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน จึงเริ่มตระหนักชีวิตของตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ทุกๆ การตายของสุบารุจะเป็นบทเรียนสอนตัวเขาได้ดีเลยนะ เราชอบตรงจุดนี้มาก ให้ความรู้สึกว่าเป็นพระเอกของเรื่องใช่ว่าจะขอร้องตัวละครไหนให้มาช่วยก็ได้ แต่ต้องพิสูจน์ตนเองไปด้วยว่าควรค่าแก่การให้ความช่วยเหลือไหม
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่ผมเคยเป็นที่หนึ่ง
กลับไม่ได้เป็นที่หนึ่งอีก
หลังจากนั้นทุกอย่างที่ผมเคยเก่ง
ก็ลดลงไปเรื่อยๆ
นัตซึกิ สุบารุสุบารุในวัยเด็กเป็นคนที่ทำอะไรก็เก่งเสมอ เมื่อนานไปกลับพบว่าตัวเขานั้นกลับสู้คนอื่นไม่ได้ กลายเป็นปมที่ทำให้ช่วงมัธยมปลายไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว อุดอู้อยู่ในห้องเพื่อเล่นเกม ติ่งการ์ตูน เป็นการหลีกหนีความจริงนั่นเอง พอมาอยู่ในต่างโลก หลายครั้งที่เขาอยากแก้ปัญหาด้วยการหนี แต่เขานั้นปณิธานว่าจะไม่กลับไปเป็นคนเดิม กล้าเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริง นั่นจึงทำให้เขากลายเป็น “คนพิเศษของคนในโลกนี้” จากคนที่โดนว่าไร้ประโยชน์ กลับเป็นที่รักของใครหลายคน นี่แหละเราถึงอยากบอกว่า อย่าตัดสินใจไม่ดูเพียงเพราะพระเอกกาก…