สุนัขบูลด็อก (Bulldog) หมาอารมณ์ดี ขี้เล่น ประวัติ ลักษณะ เลี้ยงยากไหม

สารบัญ
สุนัขที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บูลด็อก (Bulldog) คงเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่หลายคนนึกถึง ด้วยรูปร่างเตี้ยล่ำ ใบหน้าที่ดูบึ้งตึง แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ และความน่ารัก ถึงแม้ปัจจุบันบูลด็อกจะเป็นสุนัขขี้อ้อน และอ่อนโยน แต่ในอดีตน้องเคยมีประวัติที่ดุเดือดกว่านั้นมาก จากสุนัขนักสู้ในสังเวียน กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของครอบครัวได้อย่างไร? มาทำความรู้จักประวัติของบูลด็อก ลักษณะ นิสัย และวิธีการเลี้ยงไปพร้อมกัน!

ประวัติ บูลด็อก
บูลด็อก (Bulldog) เป็นสุนัขสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยรูปร่างเตี้ย ล่ำ บึกบึน และใบหน้าที่ดูบึ้งตึงแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ โดยสุนัขบูลด็อกมีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ย้อนไปในราวศตวรรษที่ 13 เดิมทีบรรพบุรุษของบูลด็อกถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในกีฬาสุดโหดที่เรียกว่า “บูลเบทติ้ง” (Bull-baiting) ซึ่งเป็นการให้สุนัขสู้กับวัวกระทิง ทำให้สุนัขบูลด็อกในยุคนั้นมีร่างกายที่สูงใหญ่แข็งแกร่ง ขากรรไกรทรงพลัง และความกล้าหาญสุดขีดมากกว่าบูลด็อกในปัจจุบันมาก ส่วนชื่อบูลด็อก มาจากคำว่า Bull หมายถึง วัวกระทิง กับคำว่า Dog ที่แปลว่า สุนัข ซึ่งหมายถึง หมาที่ใช้สู้กับวัวกระทิงนั่นเอง อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1835 ประเทศอังกฤษได้ออกกฎห้ามจัดการแข่งขันกีฬาสุนัขสู้กับวัวอีก ดังนั้นกีฬานี้จึงถูกยกเลิกไป ส่งผลให้ต่อมาสุนัขบูลด็อกเกือบสูญพันธุ์
ในเวลาต่อมานักเพาะพันธุ์สุนัขได้หันมาพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์บูลด็อก ให้มีรูปร่างที่เล็กลง มี นิสัยที่เป็นมิตร อ่อนโยนขึ้น ลดความก้าวร้าว ดุร้าย และทำให้น้องกลายมาเป็นสุนัขเลี้ยงที่เหมาะกับครอบครัวมากขึ้น ต่อมาในปี 1873 องค์กรการจัดการและจดทะเบียนสายพันธุ์สุนัขอังกฤษ The Kennel Club (UK) ได้จดทะเบียน และรับรองสายพันธุ์สุนัขบูลด็อกอย่างเป็นทางการ โดยเรียกกันว่า บริติช บูลด็อก, อิงลิช บูลด็อก หรือบูลด็อก หลังจากนั้นสุนัขพันธุ์นี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักที่สหรัฐอเมริกา จนในปี 1890 ได้มีการก่อตั้ง Bulldog Club of America ขึ้นเพื่อส่งเสริมการเพาะพันธุ์สุนัขบูลด็อก ในปัจจุบัน บูลด็อกกลายเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมเลี้ยงทั้งในอังกฤษ และทั่วโลก เพราะน้องมีนิสัยอ่อนโยน รักเจ้าของ ซื่อสัตย์ แถมเข้ากับเด็กได้ดี แม้จะมีใบหน้าดูดุ แต่แท้จริงแล้วเป็นสุนัขสุดขี้อ้อน เพื่อนคู่ใจ และสมาชิกสุดเลิฟในครอบครัวของทุกคน

สุนัขบูลด็อก ลักษณะ และนิสัย
ข้อมูลเบื้องต้นของ สุนัขบูลด็อก
ข้อมูลสำคัญ | รายละเอียด | |
อายุเฉลี่ย | 8-12 ปี | |
ส่วนสูง | ตัวผู้ 12-18 นิ้ว | ตัวเมีย 12-15 นิ้ว |
น้ำหนัก | ตัวผู้ 24-25 กก. | ตัวเมีย 22-23 กก. |
ลักษณะขน | ขนสั้น ตรง เรียบ และเงางาม | |
จุดเด่น | หน้าย่น รูปร่างกำยำ ขนสั้น ขี้อ้อน อ่อนโยน และรักเจ้าของ |
สุนัขบูลด็อก ลักษณะ
บูลด็อก สุนัขที่มีรูปร่างล่ำสัน ขาสั้น แต่เต็มไปด้วยพละกำลัง โดดเด่นด้วยศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้างแบน ใบหน้าสั้น และมีรอยย่นเป็นเอกลักษณ์ ตาโต ใบหูทรงสามเหลี่ยมขนาดเล็กพับโค้งไปด้านข้าง จมูกสั้นเชิด มาพร้อมขากรรไกรล่างที่ยื่นออกมาทำให้ดูเหมือนหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา แต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัว ลำตัวกะทัดรัด กำยำล่ำสัน มีไหล่กว้าง หน้าอกลึก ส่วนหลังโค้งเล็กน้อยทำให้เวลาเดินดูเป็นเอกลักษณ์ ขนสั้น ตรง เรียบ เงางาม แน่นไปกับผิวหนัง และมีความนุ่มนิ่ม ขณะที่นั้นหางสั้น ทรงกลมมน และชี้โค้งเป็นเอกลักษณ์

สุนัขบูลด็อก มีกี่สายพันธุ์
บูลด็อก หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าบริติช บูลด็อก หรืออิงลิช บูลด็อก จริงๆ แล้วมีทั้งหมดกี่สายพันธุ์กันแน่ สำหรับบูลด็อก (บริติช/อิงลิช บูลด็อก) มีแค่สายพันธุ์เดียว แต่สำหรับเครือญาติใกล้เคียง หรือหมาในตระกูลบูลด็อก ที่มีลักษณะเด่น หัวใหญ่ หน้าสั้น รูปร่างกำยำ และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นมีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้
- อเมริกัน บูลด็อก (American Bulldog) สุนัขที่มีขนาดตัวใหญ่ แข็งแรง และคล่องแคล่วกว่าอิงลิชบูลด็อก ใช้เป็นสุนัขเฝ้าฟาร์ม เฝ้าบ้าน หรือเพื่อนคู่ใจ
- เฟรนช์ บูลด็อก (French Bulldog) มีขนาดตัวเล็กกะทัดรัด มาพร้อมใบหูตั้งทรงค้างคาว นิสัยขี้เล่น และชอบอยู่กับเจ้าของ อ่านเรื่องราวของเฟรนช์ บูลด็อกได้ที่นี่เลย
- โอลด์อิงลิช บูลด็อก (Olde English Bulldogge) สุนัขที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ในปี 1970 โดย David Leavitt เพื่อให้มีความคล้ายคลึงบูลด็อกอังกฤษยุคเก่า ซึ่งสุญพันธุ์ไปแล้ว แต่มีความแข็งแรง และสุขภาพดีกว่า
- วิคตอเรียน บูลด็อก (Victorian Bulldog) สุนัขที่มีความคล้ายกับอิงลิชบูลด็อก แต่มีขนาดตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย และมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่า
- แคมป์ตัน บูลด็อก (Campeiro Bulldog) หนึ่งในสายพันธุ์บูลด็อกหายากของประเทศบราซิล ซึ่ง เดิมทีถูกใช้เป็นสุนัขต้อนวัว และเฝ้าฟาร์มเนื่องจากมีความแข็งแรง อนทน และความสามารถในการทำงานสูง

สุนัขบูลด็อก มีกี่สี
สุนัขบูลด็อกมีกี่สี คงเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัย เพราะฉะนั้นเราจะไปหาคำตอบกันว่าแท้จริงแล้วสุนัขบูลด็อกมีทั้งหมดกี่สี และมีสีอะไรบ้าง ไปดูกัน สำหรับหมาบูลด็อกสีที่พบบ่อยคือ น้ำตาลอ่อน (Fawn), ขาว, น้ำตาลอมแดง, ดำแต้มขาว และ ขาวลายจุดสีอื่น (Piebald) แต่นอกจากสีเหล่านี้แล้วยังมีสีอื่นๆ ที่พบได้อีกเช่นกันดังนี้
- น้ำตาลแกมเหลือง
- สีดำ-น้ำตาล
- สีแดงเข้ม
- สีดำล้วน
- สีช็อกโกแลต
- สีเทาอมฟ้า
- ลายเสือ (Brindle) พื้นสีเข้ม ลายสีอ่อน

*สำหรับสีดำล้วน, สีเทาอมฟ้า และสีช็อกโกแลตเป็นสีที่หายาก และมีราคาสูง เนื่องจากพบได้ไม่บ่อยเท่าสีอื่นๆ*
สุนัขบูลด็อก นิสัย
เมื่อพูดถึงบูลด็อก หลายๆ คนมักคิด และตัดสินน้องไปแล้วว่าเป็นหมาที่ดุ และก้าวร้าว แต่ทว่าในความเป็นจริงบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีนิสัยเป็นมิตร อ่อนโยน และรักเจ้าของสุดๆ ถึง แม้จะมีรูปร่างล่ำบึ้ก และใบหน้าดูดุ แต่ความเป็นจริงน้องเป็นหมาที่กระตือรือร้น ขี้อ้อน อารมณ์ดี และชอบคลอเคลียอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าของ แต่บางครั้งก็แอบดื้อเงียบ และมีก้าวร้าวบ้างตามสัญชาตญาณสุนัขนักสู้ แต่หากได้รับการฝึกฝนที่ดีก็เป็นหนึ่งในหมาที่นิสัยน่ารักมากๆ มีความอดทนสูง แถมปรับตัวเข้ากับเด็ก หรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้ดีเหมาะกับเป็นสัตว์เลี้ยงครอบครัว ที่สำคัญน้องไม่ค่อยเห่ายกเว้นเจอสิ่งผิดปกติ หรืออยู่ในอันตราย ดังนั้นสามารถเลี้ยงในบ้าน หรือคอนโดได้สบาย

สุนัขบูลด็อกเลี้ยงยากไหม พร้อมวิธีดูแล
ใครอยากเลี้ยงสุนัขบูลด็อกบ้าง เชื่อว่ามีหลายคนอยากเลี้ยง แต่ก็แอบกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหว เพราะไม่แน่ใจว่าน้องเลี้ยงยากไหม และต้องดูแลอะไรบ้าง ไม่ต้องกลัววันนี้เอ็นโซ่จะพาไปดูว่าการจะเลี้ยงหมาบูลด็อกสักตัวต้องเลี้ยงยังไง และต้องดูแลอะไรบ้าง พร้อมแล้วไปดูกันเลย
- การฝึก ถึงแม้สุนัขบูลด็อกจะเป็นหมาที่ฉลาด แสนรู้ แต่ก็แอบดื้อเงียบ ดังนั้นการฝึกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และอาจต้องใช้ความอดทนพอสมควร โดยควรฝึกตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้เชื่อฟัง และทำตามคำสั่ง เช่น นั่ง รอ ขอมือ ไป มา หรือปล่อย เป็นต้น นอกจากนี้ควรฝึกเรื่องการเข้าสังคมเพื่อที่น้องจะได้เข้ากับสัตว์อื่นๆ ได้ดี
- การกรูมมิ่ง การแปรงขน ด้วยบูลด็อกมีขนที่สั้น และเรียบดังนั้นจึงไม่ต้องดูแลอะไรมากเพียงแค่หมั่นแปรงขนให้น้องเป็นประจำครั้งละ 10 นาที 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อกำจัดขนที่หลุดร่วง และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การทำความสะอาดรอยย่นบนใบหน้า และร่างกายคือสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากรอยย่นเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมความชื้น และเชื้อโรคจึงควรทำความสะอาดเป็นประจำด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น หรือน้ำเกลือแล้วเช็คบริเวณรอยย่น ทุกๆวัน ป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรก การอาบน้ำไม่ต้องอาบบ่อยแค่ 2-4 สัปดาห์ครั้ง ส่วนการดูแลเล็บ ควรตัดทุกๆ 2-3 สัปดาห์ และใบหูเป็นแหล่งสะสมของความชื้นควรเช็คทำความสะอาดทุกๆ สัปดาห์ป้องกันการติดเชื้อโรค
- การออกกำลังกาย สำหรับสุนัขบูลด็อกควรเน้นการออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น เดินเล่น เล่นคาบจานร่อน หรือสเก็ตบอร์ด เป็นต้น เพราะโครงสร้างของหมาพันธุ์นี้เป็นหมาหน้าแบน จมูกสั้นทำให้หายใจลำบากการออกกำลังกายที่หนักเกินไปอาจทำให้น้องหายใจไม่ทันได้ และไม่ควรให้น้องทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อน หรือเย็นเกินไปเพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- อาหาร เน้นอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์ และพืชเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ รวมไปถึงเส้นขน แต่ก็ไม่ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนอย่างเดียวควรเป็นอาหารที่มีคุณค่าครบหลักโภชนาการ สำหรับปริมาณต่อวันสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อความเหมาะสมตามอายุ และน้ำหนักตัวเพื่อสุขภาพที่ดีของน้อง

โรคที่พบบ่อยในสุนัขบูลด็อก
แม้ว่าสุนัขบูลด็อกจะเคยเป็นหมาในกีฬาต่อสู้มาก่อน ดังนั้นน้องน่าจะแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย แต่จริงๆ แล้วน้องก็มีโรคประจำพันธุ์ที่ต้องระวัง ดังนี้
- โรคทางเดินหายใจผิดปกติในสุนัขและแมวพันธุ์หน้าสั้น (Brachycephalic Obstructive Airway Syndrome (BOAS)) เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายบริเวณใบหน้า ทำให้หายใจยากลำบากกว่าปกติ และเสี่ยงขาดออกซิเจนได้ง่ายถึงขั้นเสียชีวิตได้
- โรคตาแห้ง (Dry Eye (Keratoconjunctivitis Sicca)) เกิดจากความผิดปกติของฟิล์มน้ำตาที่เคลือบตาอยู่ลดลง ทำให้ตาแห้งเหลือแต่ไขมัน และเมือกอยู่บริเวณตา ซึ่งอาจส่งผลต่อกระจกตา และเยื่อตาขาวอักเสบได้
- โรคเชอร์รี่อาย (Cherry Eye) เกิดจากความผิดปกติของเยื่อเปลือกตาที่สามซึ่งมีอยู่ในดวงตาของสุนัข และแมวทุกตัว ทำให้เกิดก้อนกลมๆ ขึ้นบริเวณหัวตา อาจทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้
- โรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน (Patellar Luxation) เกิดจากกระดูกสะบ้าเคลื่อนหลุดออกจากตำแหน่งหัวเข่า ทำให้ปวด กล้ามเนื้อขาลีบ และเดินกะเผลก
- โรคข้อสะโพกเจริญผิดปกติ (Hip Dysplasia) เกิดจากอาการปวดบริเวณข้อสะโพก ทำให้ลุกนั่งลำบาก และเดินกะเผลก
- โรคข้อศอกเจริญผิดปกติ (Elbow Dysplasia) เกิดจากความผิดปกติบริเวณข้อศอกซึ่งมาจากการพัฒนาของกระดูกที่ไม่สมดุล ทำให้เกิดการอักเสบ และนำไปสู่การเสื่อมของข้อศอกได้
- โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Intervertebral Disc Disease) เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวด เคลื่อนไหวได้ไม่เป็นปกติ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพาตได้เลย

Q&A คำถามที่พบบ่อยในสุนัขบูลด็อก
ใครสงสัยบ้างว่าสุนัขบูลด็อกอยู่ได้กี่ปี? บริติช บูลด็อก ดูแลยากไหม? หรืออิงลิช บูลด็อก ดุไหม? มาดูคำถามยอดฮิตของสุนัขบูลด็อกกันว่ามีอะไรบ้าง
- สุนัขบูลด็อก มีกี่สายพันธุ์?
สำหรับบูลด็อก, อิงลิช บูลด็อก หรือบริติช บูลด็อก มีแค่สายพันธุ์เดียว
- สุนัขอิงลิช บูลด็อก ดุไหม?
โดยปกติบูลด็อกเป็นหมาอารมณ์ดี ขี้เล่น อ่อนโยน ไม่ดุ แต่อาจมีดื้อ และก้าวร้าวบ้างตามสัญชาตญาณอดีตหมานักสู้
- สุนัขอิงลิช บูลด็อกอยู่ได้กี่ปี?
อายุเฉลี่ยของบูลด็อก ประมาณ 8-12 ปี
- สุนัขบริติช บูลด็อกดูแลยากไหม?
บูลด็อก เป็นหมาที่เลี้ยงไม่ยาก แต่ต้องเอาใจใส่ และดูแลหน่อย เพราะถึงแม้น้องจะเป็นหมาที่อ่อนโยน อารมณ์ดี แต่ด้วยอดีตเป็นหมานักสู้มาก่อน ทำให้มีความดื้อ และก้าวร้าวบ้าง แต่ถ้าฝึกดีๆ รับรองเป็นหมาที่น่ารักสุดๆ
- สุนัขบริติช บูลด็อกเข้ากับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้ไหม?
สุนัขบูลด็อก สามารถเข้ากับเด็ก และสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ได้ดีเมื่อได้รับการฝึกแล้ว

เลี้ยงสุนัขบูลด็อก ดีไหม?
ใครยังลังเลไม่รู้ว่าจะเลี้ยงสุนัขบูลด็อกดีไหม จะเลี้ยงไหวรึเปล่า ลองมาดูข้อดี-ข้อเสียของสุนัขบูลด็อกที่ ENNXO สรุปมาให้ก่อน เผื่อจะช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งข้อดี และข้อเสียของน้องมีอะไรบ้างมาดูกัน
ข้อดีของสุนัขบูลด็อก
- อ่อนโยน เป็นมิตร
- ขี้เล่น อารมณ์ดี
- รักเจ้าของ
- ปรับตัวเก่ง
- ไม่เห่าบ่อย
ข้อเสียของสุนัขบูลด็อก
- ดื้อเงียบ
- ก้าวร้าวบ้าง ตามสัญชาตญาณหมานักสู้
- มีปัญหาเรื่องการหายใจ
- น้ำลายไหลเยอะ
- ต้องดูแลทำความสะอาดรอยย่นเป็นพิเศษ

เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องราวของสุนัขบูลด็อก บอกเลยว่าเป็นหมาที่น่ารัก จ้ำม่ำ น่ากอดเล่นสุดๆ ซึ่งใครกำลังตามหาน้องบูลด็อกอยู่มาดูได้ที่ ENNXO ตลาดซื้อขายหมาบูลด็อกออนไลน์ ที่นี่มีหมาบูลด็อกมากมาย ทุกสี ทั้งตัวผู้ ตัวเมีย และลูกหมาบูลด็อกให้เลือกดู และเปรียบเทียบเรทราคาได้ด้วย หรืออยากมาลงขายหมาบูลด็อกก็ทำได้ง่ายๆ แถมฟรี คิดจะซื้อ และลงขายสุนัขบูลด็อกต้อง ENNXO ครบเครื่องเรื่องน้องหมา
